top of page

ออทิสติก ดีขึ้นได้ หากเข้าใจ

  • huggloryclinic
  • 5 ต.ค. 2566
  • ยาว 2 นาที

ree

ออทิสติก ดีขึ้นได้ หากเข้าใจ

ดูซีรีส์แล้วได้ข้อคิดมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะมาถอดบทเรียนจากซีรีส์เกาหลีขึ้นหิ้งประจำปีนี้กันค่ะ It's Okay To Not Be Okay (เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน) เนื้อหาดีดูแล้วอบอุ่นหัวใจมากกกก ปกติครูเมย์เป็นคอซีรีส์เกาหลีอยู่แล้ว บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ควรพลาดจริงๆๆๆ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้สนใจซีรีส์เกาหลีมาก่อน แต่รับรองว่าจะต้องประทับใจเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละตอนก็มีแมสเซจที่ได้สอนหรือช่วยเยียวยาจิตใจของเราได้จริง (ต้องโดนตกกันซักตอนแหละน่า^^) ซีรี่ส์เรื่องนี้นอกจากนักแสดงจะสวยหล่อแล้ว ตัวบทก็ยังดีมากๆอีกด้วย ขอเกริ่นก่อนว่าเนื่องจากซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมและกระแสดีมากๆๆๆ มีหลายเพจที่วิเคราะห์เนื้อหาและบทเรียนที่ช่วยเยียวยาจิตใจให้กับเรา แต่อาจจะยังไม่มีบทวิเคราะห์ตัวละครของมุนซังแท ในแง่มุมของบุคคลภาวะออทิสติก ที่รับบทโดยคุณโอจองเซมากเท่าไหร่ ครูเมย์จึงอยากแสดงความคิดเห็นและถอดบทเรียนที่ได้รับจากการดูซีรีส์เรื่องนี้ จากมุมมองของนักกิจกรรมบำบัดมาวิเคราะห์ตัวละครมุนซังแท มาให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ครูหรือทุกคนในสังคมเข้าใจออทิสติกมากขึ้น เนื้อหาคร่าวๆของตัวละคร มุนซังแทเป็นพี่ชายของมุนคังแท (พระเอกในเรื่อง) ที่มีภาวะออทิสติก เค้าเติบโตมากับน้องชายและกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก น้องชายต้องดูแลพี่ชายมาตั้งแต่นั้น >> แค่นี้ก็เริ่มน่าสนใจแล้วใช่มั้ยล่ะคะ น้องชายที่ดูแลพี่ชายออทิสติก มาลุ้นกันค่ะว่าน้องที่ได้ดูแลพี่มาตลอด เค้าและสังคมรอบข้างช่วยทำให้พี่ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้ากลัวว่าจะจิตตกหรือกลัวว่าจะออกแนวดราม่า ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่หดหู่เลย แต่ดูแล้วกลับอิ่มเอมหัวใจ เพราะแต่ละตอนที่เนื้อเรื่องดำเนินผ่านไปเหมือนได้เรียนรู้และเติบโตไปกับซังแทอปป้าผู้มีหัวใจที่แสนพิเศษอีกด้วยค่ะ) *** ข้อมูลที่ครูเมย์วิเคราะห์ออกมานั้นมีสปอยส์เนื้อหาเอาไว้ ยังไงหากใครยังไม่ได้ดูก็ไปดูก่อนได้ รับรองว่าคุณจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน (หาดูได้ทาง Netflix นะคะ) ***



ree

"ออทิสติกไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ ถึงล่าช้าแต่ก็พัฒนาได้ในรูปแบบของตัวเค้าเอง"


เมื่อกล่าวถึงภาวะออทิสติกแล้วก็คือเป็นกลุ่มอาการที่มีปัญหาด้านภาษาและการเข้าสังคม อาจจะแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ดูแยกตัวเองหรือเป็นรูปแบบของตัวเอง แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเค้าไร้ความสามารถหรือต้องการการช่วยเหลือตลอดเวลา เด็กออทิสติกก็สามารถพัฒนาได้ ในรูปแบบของตนเอง การฝึกฝนตั้งแต่เล็กๆ จะช่วยให้เค้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ จากท้ายเรื่องคุณแม่ของซังแท เคยพาซังแทเข้ารับการรักษาที่รพ.จิตเวช (คงเป็นในส่วนของจิตเวชเด็ก) ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรือเลี้ยงลูกไปตามประสา เมื่อสูญเสียแม่ไป คังแท (น้องชาย) ก็ยังคงไม่ละความพยายาม พยายามพาพี่ไปเรียนหรือไปฝึก คอยสอนพี่ในบริบทต่างๆเพื่อให้ใช้ชีวิตและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม


ree

"ค้นหาจุดเด่นให้เจอ"

เด็กออทิสติกบางคนมีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ บางคนอาจเด่นเรื่องหูแยกเสียงเก่ง สนใจทางด้านดนตรี และเล่นดนตรีได้เก่งมาก บางคนเก่งคณิตศาสตร์คิดเลขได้เร็วและไวมาก บางคนเก่งเรื่องการวาดภาพและงานศิลปะ แต่ละคนก็มีความเก่งที่ไม่เหมือนกัน

การเปิดโอกาสและสนับสนุนเค้าในเรื่องที่เค้าทำได้ดี หาจุดเด่นของเค้าให้เจอ เช่นในเรื่องซังแทมีความสามารถพิเศษด้านการวาดรูป ก็ได้รับโอกาสจากคุณหมอเจ้าของโรงพยาบาลให้วาดภาพฝาผนัง หรือนางเอกก็จ้างให้วาดภาพประกอบนิทานของตนเอง คังแทน้องชายก็สนับสนุนพี่ พาพี่ไปซื้ออุปกรณ์วาดภาพ และทุกๆคนในเรื่องต่างก็ชื่นชมผลงานภาพวาดของซังแท ทำให้เค้ารู้สึกภาคภูมิใจและรับรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้และมีจุดเด่นเรื่องอะไร

จนสุดท้ายซังแทได้ค้บพบว่าตัวเองอยากเป็นนักวาดภาพประกอบเต็มตัว ในตอนจบของเรื่อง ยินดีกับพี่ซังแทจริงๆค่ะ


ree

"ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เรื่องของอารมณ์และจัดการกับอารมณ์ด้วยตนเอง"

เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่คังแทดูแลพี่ชายมาอย่างดี การใช้บอร์ดการ์ดภาพเพื่อแสดงภาพอารมณ์ของผู้คนในอารมณ์ต่างๆ จะช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาที่สำคัญของผู้ที่มีภาวะออทิสติกเลยก็ว่าได้ เพราะเขามักไม่เข้าใจอารมณ์ สีหน้าของผู้อื่น จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร และค่อนข้างตรงไปตรงมา โกหกไม่เป็น การที่คังแทสอนให้พี่คอยสังเกตสีหน้าเพื่อฝึกให้เค้ามองหน้าสบตากับผู้อื่น จะได้เข้าใจความหมายที่ผู้อื่นต้องการจะสื่อ พัฒนาการทางภาษาก็จะดีขึ้นด้วย


อีกทั้งยังช่วยสอนในเรื่องของการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง การใช้การนับ 1 2 3 เมื่อเวลาที่ตัวเองโกรธ จะค่อยๆสงบอารมณ์ของตนเองได้, การใช้ท่าอ้อมกอดของผีเสื้อมาช่วยปลอบประโลมตนเองเวลาที่เครียด วิตกกังวลหรือตื่นตะหนก นอกจากนั้นการให้พื้นที่สงบ เช่นในห้อง ใต้โต๊ะ ในตู้เสื้อผ้า เป็นพื้นที่ที่ช่วยให้เค้ารู้สึกปลอดภัยและใช้เวลาในการจัดการกับความรู้สึกของตนเอง โดยไม่เคยที่จะไปบังคับ ก้าวก่ายพื้นที่ปลอดภัยนั้น เมื่อพี่พร้อมจะคุยค่อยคุย ไม่บังคับเค้า ถือเป็นการเคารพในตัวตนของพี่ เป็นสิ่งที่น่าเอาเป็นแบบอย่างมากเลยค่ะ


ree

"เปลี่ยนจากช่วยเหลือเป็นผลักดัน เพื่อให้เค้าได้แสดงความสามารถ"

ในเนื้อเรื่องคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าได้ให้คำแนะนำกับคังแทเรื่องที่พี่ซังแทไปเซ็นสัญญาเป็นนักวาดนิทานให้กับนางเอก คังแทไม่แน่ใจว่าพี่จะทำได้หรือไม่กลัวว่าพี่โดนหลอกหรือกลัวว่าจะเกิดปัญหาในอนาคต


คุณป้าจึงให้คำแนะนำว่าเราลองเปลี่ยนเป็นผลักดันเค้าดูในสิ่งที่เค้าคิดว่าอยากทำ เพราะอย่างน้อยก็แสดงให้เราเห็นว่าเค้ามั่นใจและเป็นความต้องการของเค้าเองเราลดความกังวลลงเปลี่ยนมาคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆเค้า ให้โอกาสเค้าได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ กับสิ่งที่เค้าเลือก ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าชอบดู

บางทีอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้นะ


ree

"เคารพในความเป็นเค้า"

เด็กออทิสติกอาจจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่เราอาจดูแล้วมองว่าไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นไปตามวัย ไม่ยืดหยุ่น หากเราเคารพในความเป็นตัวเค้า ไม่เปลี่ยนเค้าในเรื่องที่เราก็ดูแล้วว่ามันไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรกับตัวเค้าเองหรือคนอื่นๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะไม่ควร เราก็ควรยอมรับในแบบที่เค้าเป็น


ยกตัวอย่าง จากในเรื่อง ซังแทชอบไดโนเสาร์มากเป็นพิเศษ น้องก็ยอมให้พกไดโนเสาร์ติดตัว ให้เลือกชุดที่ชอบถึงแม้ว่าจะใส่เสื้อแบบเดิมๆ ยอมให้ทานอาหารแบบเดิมๆ ซ้ำๆ เปิดดูการ์ตูนเรื่องที่ชอบซ้ำไปซ้ำมาหรือยอมให้ซื้อนิทานมาอ่าน คลั่งไคล้การอ่านนิทานถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

แต่ที่สำคัญคือ ไม่รู้สึกอายที่มีพี่เป็นเด็กพิเศษ เค้าใช้ชีวิตปกติ พาพี่ออกไปในสถานที่ต่างๆ และถึงแม้ว่าพี่อาจจะแสดงอาการแปลกๆไปบ้าง เค้าก็อยู่เคียงข้างพี่ ไม่แคร์สายตาคนทั่วไปที่มอง แค่นี้ก็ถือว่าเป็น การเคารพในตัวพี่เช่นกัน


เพราะมนุษย์เราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ การเคารพในความแตกต่างและปฏิบัติต่อกันด้วยความเป็นมนุษย์คนนึงเป็นสิ่งปกติที่คนในสังคมควรทำไม่แบ่งแยกหรือแสดงท่าทีรังเกียจ กลัว สงสารเกินกว่าเหตุ หรือแสดงออกให้เค้ารู้สึกแปลกแยก เราควรมองเค้าในแบบปกติ เพราะเค้าก็เป็นคนคนนึง มองเค้าเหมือนกับคนอื่นทั่วไป ถ้าสังคมเป็นแบบนั้นได้ ครอบครัวที่มีเด็กพิเศษคงจะรู้สึกดีไม่น้อย กล้าที่จะเข้าสังคมมากขึ้น และครูเมย์คิดว่าสังคมเราคงจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ


ree

"อย่าลืมสอนให้เค้าช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน และเรียนรู้ทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น"

ประเด็นเรื่องการฝึกทักษะการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับเด็กออทิสติกเป็นสิ่งแรกที่ครอบครัวให้ความสำคัญอันดับ 1 เพราะเค้าต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง อย่างน้อยพื้นฐานการกิน นอน ขับถ่าย ต้องทำให้ได้


อย่างในเรื่องซังแทได้รับการฝึกสอนทักษะการใช้ชีวิตประจำวันในหลายๆเรื่องตามวัย เช่น การขึ้นรถโดยสารสาธารณะ การใช้โทรศัพท์เพื่อการสื่อสาร(กด1เพื่อโทรหาเบอร์โทรด่วน) สอนค่าของเงินและการใช้เงิน สอนมารยาทและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ฝึกหารายได้ให้ทำงานพิเศษเล็กๆน้อยๆ

ที่ตนเองพอจะทำได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เค้ามีทักษะชีวิตและดูแลตัวเองได้ตามศักยภาพ


ทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตต้องอาศัยการฝึกฝนซ้ำๆการสอนผ่านบริบทและสภาพแวดล้อม

ที่เค้าอยู่ในสถานการณ์จริงจะช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าใจได้ง่ายและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง


ree

"ไม่โกหก หลอกเค้าหรือยอมเค้า เพียงเพราะเค้าเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"

หลายครั้งที่คนต่างมองว่าบุคคลที่มีความต้องการพิเศษเป็นบุคคลที่น่าสงสาร หลายครั้งจึงมักจะยอมโอนอ่อนหรืออะลุ้มอล่วยให้ ซึ่งทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดๆและยิ่งทำให้เด็กยิ่งไม่เข้าใจ


ดังนั้นเราจึงควรบอกเค้าไปตรงๆว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทำแบบนี้ เพราะอะไร มีเหตุผลรองรับ ไม่ปิดบัง ไม่โกหก พูดความจริงให้เค้าฟัง ถึงแม้ว่าจะรับได้ยากหรืออาจจะทำให้เค้าโกรธแต่อย่างน้อยก็ไม่สร้างปัญหาในภายหลังหากสิ่งนั้นไม่เป็นความจริงเพราะในเด็กกลุ่มนี้ ค่อนข้างยืดหยุ่นน้อย หากเคยได้แบบไหน ก็ต้องทำแบบนั้น รับปากแล้วต้องทำให้ได้ การพูดแบบส่งๆ ขอไปที จึงไม่ควรอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นมุมที่บริสุทธิ์เช่นกัน เพราะเค้าโกหกไม่เป็น คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น คำพูดที่ออกมาจึงมีแต่ความจริงใจและเป็นความจริง


ดังเช่น ในเนื้อเรื่องมีหลายครั้งที่คังแทโกหกพี่ชายเพียงเพราะไม่อยากให้มีเรื่อง กลัวพี่เสียใจหรือกลัวทะเลาะกัน สุดท้ายพี่ก็มาจับได้อยู่ดี และพี่ก็โกรธ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกหกกัน เพราะการพูดความจริงถึงแม้มันอาจจะทำให้ใครเสียใจ แต่การปกปิด/โกหก หลอกลวงยิ่งทำให้อีกฝ่ายเสียความเชื่อใจไป

ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่า


เมย์จะลองยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นในครอบครัวเด็กออทิสติกมาอธิบายเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ในเด็กที่มีภาวะออทิสติกซึ่งมักจะมีความยืดหยุ่นน้อยและมักจะชอบทำอะไรแบบซ้ำๆเดิม หากเคยได้รับบางอย่างเค้าจะเรียนรู้ว่าจะต้องได้อีกซ้ำๆหากเราเคยยอมให้ แล้ววันนึงไม่ให้ขึ้นมา

เค้าอาจจะไม่เข้าใจได้


ดังนั้น อย่ายอมให้โดยไม่มีเหตุผลตั้งแต่แรกอย่ายอมใจอ่อนเพียงเพราะ สงสารเค้า ปฏิบัติกับเค้าเหมือนคนทั่วไปที่ต้องยอมรับและเข้าใจ มีเหตุมีผล เพื่อให้เค้าเกิดการเรียนรู้ ฝึกให้คิดยืดหยุ่นพร้อมจะเข้าใจโลกใบนี้ การรับปากส่งๆ โกหกบอกเค้าผ่านๆว่าจะให้แล้วไม่ให้ ว่าจะทำแล้วไม่ทำยิ่งทำให้เค้าหงุดหงิดและอาจจะอาละวาดขึ้นมาได้คราวนี้จะรับมือยากขึ้นกว่าเดิมค่ะ


ree

"ตัวฉันเป็นของตัวฉันเอง"

เราควรมีโอกาสได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการนี่คือความปรารถนาของทุกๆคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตหรือต้องผูกติดกับบางสิ่งบางอย่าง


เปรียบเทียบง่ายๆคือ ชีวิตลิขิตเอง เช่นเดียวกับพี่ซังแทที่มักจะพูดว่า "ซังแทเป็นของมุนซังแท" เค้าอยากเป็นตัวของเค้าเอง เค้าอยากตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยตัวของเค้าเอง แมสเสจที่ตัวละครพูดออกมา

มันสะท้อนความรู้สึกเบื้องลึกของจิตใจของมนุษย์ ความรู้สึกอิสระและอยากจะเป็นตัวเองไม่ว่าเด็กออทิสติกหรือใครก็ตามต่างก็ต้องการเป็นตัวเองกันทั้งนั้น


ดังนั้นเวลาที่เราต้องฝึกเด็กออทิสติกการเปิดโอกาสให้เค้าเลือกไม่ขีดเส้นหรือกำหนดกรอบให้เค้าต้องทำตามที่เราบอกอย่างเดียว เช่น ให้เค้าได้เลือกว่าเค้าจะทำอะไรก่อน/หลัง ให้เค้าได้เลือกว่าเค้าอยากจะทานอะไร เค้าอยากจะเล่นแบบไหน แถมการให้ตัวเลือกก็เป็นอีกวิธีการนึงที่ช่วยให้การฝึกเด็กออทิสติกเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นและเด็กๆก็จะต่อต้านน้อยลงอีกด้วยค่ะ


ree

"ทุกคนล้วนต้องการเป็นที่ยอมรับและอยากเป็นคนที่ใครซักคนต้องการ"

ฉันดี ฉันเก่ง ฉันมีความสามารถ ฉันทำบางสิ่งบางอย่างได้ด้วยตัวของฉันเองและเป็นที่ต้องการของคนอื่นๆสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นความต้องการลึกๆอยู่ในใจของทุกคน


เด็กออทิสติกก็ไม่ต่างกันค่ะเค้าเองก็ต้องการการยอมรับในแบบที่เป็นเค้าเค้าอยากรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำอะไรได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า หรือเป็นภาระแก่ผู้อื่นการเปิดโอกาสให้เด็กเหล่านี้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ทดลองทำ ทดสอบความสามารถของตัวเองท้าทายตัวเอง หากผิดพลาดก็ให้เรียนรู้และลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูบ้าง


ทั้งหมดนี้ เพื่อหวังว่าสุดท้ายแล้วเค้าเองจะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็จด้วยตัวของเค้าเอง ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็ตามในมุมมองของเราแต่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เค้าเกิดความรู้สึกว่า "ฉันทำได้ดีจริงๆ" "ฉันเก่งนะ"


เราเรียกสิ่งนี้ว่าความภาคภูมิใจในตนเอง (self- esteem) และมนุษย์เราควรมีสิ่งนี้เอาไว้เพื่อยึดเหนี่ยวตัวเองให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าและมีตัวตน


ree

"การแยกกันไม่ได้หมายถึงการจากลา บางครั้งมันคือการเริ่มต้นใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง" การที่เรามีเด็กที่มีต้องการความพิเศษในครอบครัวบางครั้งถูกมองว่าเป็นภาระหรือมองว่าเราต้องดูแลเค้าตลอดชีวิต ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดไม่กล้าที่จะปล่อยให้เค้าไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง มีแต่ความกังวล ความกลัว ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะไม่เชื่อมั่นในตัวเค้าหรือกลัวว่าเค้าจะเอาตัวเองไม่รอดและกลัวจะได้รับอันตราย แต่เชื่อว่าเราทุกคนเองก็เป็นไม่ว่าจะเป็นเด็กพิเศษหรือเด็กปกติเองก็ตาม เมื่อเป็นลูกหรือบุคคลในครอบครัวของเราแล้ว เราก็ย่อมห่วงเป็นธรรมดา แต่การห่วงมากเกินไปจนไม่ปล่อยให้เค้าเรียนรู้ชีวิต ก็ไม่ต่างอะไรกับนกที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรง หากต้องการปีกนกแข็งแรงบินด้วยตัวเองได้ สร้างรังเองได้ นกต้องบินออกจากกรง หากเรากล้าที่จะให้เค้าได้ออกไปเผชิญโลกได้ลองใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเองดูบ้าง เราอาจจะเห็นโอกาสในการเติบโตของตัวเค้าเองไม่มากก็น้อย ชีวิตคนเราก็คือการเรียนรู้ หากสิ่งที่ทำเป็นหนทางที่ถูก ก็ถือว่าดี และเป็นประสบการณ์ แต่หากผิดพลาดก็ถือว่าเป็นบทเรียนสอนเรา และจะได้นำมาหาวิธีแก้ไข ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาดและการเริ่มต้นมักยากแบบนี้กันทุกคน ท้ายที่สุด บทสรุปเรื่องราวของซีรีส์ก็จบลงด้วยการจากลาของสองพี่น้องที่ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ได้เลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ เป็นการจบที่สมบูรณ์และงดงามมากจริงๆค่ะ


Comentários


  • Line
  • alt.text.label.Facebook
  • Instagram
  • TikTok

©2023 โดย HuggloryClinic ภูมิใจสร้างสรรค์โดย Wix.com

bottom of page